
เขมรแดงปกครองรัฐเผด็จการที่ประชาชนแทบไม่มีสิทธิใดๆ เลย พวกเขาได้ยกเลิกสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ทรัพย์สินส่วนบุคคล เงินทอง พิธีกรรมทางศาสนา ภาษาชนกลุ่มน้อย และการแต่งกายแบบต่างชาติ พลเมืองอาจถูกคุมขังแม้เพียงความผิดเล็กน้อย และรัฐบาลได้จัดตั้งเรือนจำขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อกักขัง ทรมาน และประหารชีวิต เรือนจำที่อื้อฉาวที่สุดเหล่านี้รู้จักกันในชื่อ “S-21” ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ “ผู้ทรยศ” และครอบครัวของพวกเขาถูกจับกุมตัว ถ่ายภาพ ทรมาน และสังหาร ในบรรดาชาย หญิง และเด็กประมาณ 17,000 คนที่ถูกนำตัวมายัง S-21 มีผู้รอดชีวิตเพียงประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น มีหลุมศพหมู่ทั่วประเทศ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ “ทุ่งสังหาร”
เขมรแดงวางนโยบายของตนบนพื้นฐานความคิดที่ว่าพลเมืองกัมพูชาถูกครอบงำโดยอิทธิพลภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามและทุนนิยมตะวันตก เขมรแดงเรียกผู้ที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ของตนว่า “คนบริสุทธิ์” และข่มเหงรังแกใครก็ตามที่พวกเขามองว่า “ไม่บริสุทธิ์” ภายในไม่กี่วันหลังเข้ายึดอำนาจ รัฐบาลเขมรแดงได้สังหารทหารหลายพันนายและบังคับให้ประชาชนหลายล้านคนออกจากเมือง สังหารใครก็ตามที่ปฏิเสธหรือเชื่องช้าเกินไป พวกเขาบังคับให้พลเมืองเข้ารับการอบรมในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าโรงเรียนปรับทัศนคติ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นสถานที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐ รัฐบาลเขมรแดงบังคับให้ครอบครัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นเพื่อทำลายโครงสร้างครอบครัว เขมรแดงมุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะชาวจีน เวียดนาม และชาวจามมุสลิม ซึ่งประมาณ 80% ถูกสังหาร นอกจากนี้ ใครก็ตามที่เชื่อว่าเป็นปัญญาชนก็ถูกสังหารเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทนายความ ครู หรือแม้แต่คนที่สวมแว่นตาหรือรู้ภาษาต่างประเทศ ล้วนตกเป็นเป้าหมาย เป้าหมายพิเศษคือผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้ชายแดนเวียดนาม
ย้อนไปเมื่อปี 2528 หรือกว่า 40 ปีก่อน ในช่วงหลังสงครามเวียดนามและความขัดแย้งระหว่างเขมรแดงกับเวียดนาม สำนักข่าว AFP เคยบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวกัมพูจาจำนวนมากลี้ภัยเข้าสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งกลายเป็นพื้นที่หลักในการรองรับผู้ลี้ภัย
ภายใต้หลักมนุษยธรรม ประเทศไทยได้เปิดศูนย์อพยพเพื่อรองรับชาวกัมพูชาในฐานะ “ผู้ลี้ภัย” โดยมีความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ และองค์กรกาชาด เพื่อจัดหาความช่วยเหลือด้านอาหาร ยา และการคุ้มครองขั้นพื้นฐาน
และที่น่าเจ็บปวดใจอย่างมากก็คือ ในหลวง ราชินี ในรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยพระบรมโอรสาธิราช ในขณะนั้น ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้วยพระเมตตา ที่มีให้ กับเขมรที่หนีตายจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่สุดท้ายเขมรก็เนรคุณ…
เพราะในปี 2568 ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงปืนใหญ่เข้าใส่พื้นที่ฝั่งไทย ส่งผลกระทบต่อทหารไทย บ้านเรือนประชาชน ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน และโรงพยาบาล ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งพลเรือนและทหาร เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. และนำไปสู่การอพยพประชาชนกว่า 100,000 คน จาก 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ภาพของเด็ก ผู้หญิง และผู้สูงอายุ ที่ต้องอุ้มลูกจูงหลาน หอบข้าวของหลบหนีจากความไม่สงบ สะเทือนใจคนไทยไม่น้อย และนำมาซึ่งคำถามว่า “เมื่อไทยเคยยื่นมือช่วยเหลือเพื่อนบ้านในยามยาก เหตุใดวันนี้จึงถูกตอบแทนด้วยการรุกราน?”
การเคยเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ในยามเพื่อนบ้านล้มลง “แม้จะเคยให้ความช่วยเหลือในยามยาก แต่ความสัมพันธ์ในปัจจุบันกลับไม่สะท้อนถึงการระลึกถึงในอดีต” เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นบทเรียนสำคัญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของคำว่า “มิตรภาพถาวร”ไม่มีในสมองของ คนเขมร แม้แต่น้อย ดังนั้นคนชนชาตินี้ ไทยต้องเลิกคบค้าสมาคม เพราะมันคือกลุ่มคนที่ไร้ค่า ไร้ความเป็นคน สันดานเลวกว่า หมาที่มีความซื่อสัตย์ แต่เขมรมันเลี้ยงไม่เชื่อง จึงเห็นควรปิดด่าน ตัดขาดปิดประเทศ เลิกเป็นมิตรกับเขมรในทันที…
โดย เต่านินจา
28 สิงหาคม 2368